ปีนี้หลายแบรนด์คงเค้นกลยุทธ์ที่จะเอามาชนะคู่แข่งและชิงกระแสกันแบบดุเดือด แต่กลยุทธ์ไหนกันที่แบรนด์ใหญ่เลือกใช้และสามารถชิงพื้นที่สื่อ ปาดหน้าคู่แข่งได้ขาดลอย วันนี้เราจะมาพาทุกคนมารู้จักกลยุทธ์ Co – Branding ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในปี 2019 เข้าใจกลยุทธ์ Co – Branding Co – Branding ก็คือกิจกรรมทางการตลาดตั้งแต่สองแบรนด์มาร่วมมือกัน ซึ่งส่วนใหญ่เลือกที่จะสร้างแคมเปญในช่วงเวลาสำคัญต่างๆ เช่น ปีใหม่ ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งปี โดยการรวมแบรนด์นี้ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็มารวมกันได้ แต่ต้องเลือกแบรนด์ที่สามารถเข้ากันได้ ซึ่งผู้บริหารแบรนด์หลายคนเรียกวิธีการนี้ว่า การแต่งงานระหว่างแบรนด์ เนื่องจาก กลยุทธ์แบบนี้คือการที่นำสองธุรกิจมารวมกัน กลุ่มเป้าหมายต่างก็มีความชอบที่แตกต่างกัน ต่อให้คล้ายกันก็ยังไม่เหมือนกันอยู่ดี การจะชักจูงให้กลุ่มเป้าหมายทั้งคู่รู้สึกในทิศทางเดียวกันถือว่ายากมาก แต่ก็เป็นความท้าทายของนักการตลาดที่จะฝ่าฟันไปให้ได้ เพราะถึงยากยังไงข้อดีของการ Co – Branding ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะมาช่วยให้แบรนด์ฝ่าวิกฤติมายืนหนึ่งได้เช่นกัน ข้อดีของการ Co – Branding สร้าง Collection Limited ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี โดยส่วนใหญ่การสร้าง Collection Limited แบรนด์มักจะไปร่วมมือกับการ์ตูนดังๆ เช่น Disney หรือ Line ที่มั่นใจว่าลูกค้าที่รักตัวการ์ตูนเหล่านี้ทั้งสองกลุ่ม …
จะดีแค่ไหน ถ้าหากเทคโนโลยีการแพทย์ก้าวหน้าไปถึงจุดที่มีความแม่นยำสูง และกระจายไปถึงประชาชนทุกคน ต่อไปการวินิจฉัยจะถูกต้องแม่นยำมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ภาพ (Visual Sensor) ในขณะที่เทคโนโลยีประมวลผลภาพ (Computer Vision) ที่ทรงพลังกว่าเดิม จะเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ของการรักษาชีวิตนับล้าน...
Google เปิดตัว Password Checkup ช่วยตรวจสอบและแจ้งเตือนหากเว็บไซต์ที่ผู้ใช้กำลังล็อกอิน เคยประสบปัญหารหัสผ่านถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่
Skype ประกาศเพิ่มคุณสมบัติใหม่สำหรับโปรแกรมเวอร์ชันเดสก์ท็อป โดยสามารถเลือกให้เบลอฉากพื้นหลังแบบอัตโนมัติได้ระหว่างวิดีโอคอล ไมโครซอฟท์บอกว่าวิธีการทำงานนั้น เหมือนกับวิธีการเบลอฉากหลังใน Microsoft Teams ซึ่งอาศัย AI ในการแยกแยะตัวบุคคล, เส้นผม, มือ, แขน เพื่อให้เบลอฉากหลังได้ถูกต้อง
การทำ Content Marketing เป็นสิ่งที่นักการตลาดหรือคนทำสื่อหลาย ๆ คนนั้นทำกันเป็นเรื่องปกติ แต่ยังมีความเชื่อที่ผิดต่าง ๆ ที่ทำให้กลายเป็นอุปสรรคในการทำงาน
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หากคิดเป็นค่าเสียโอกาสในด้านสุขภาพและด้านการท่องเที่ยว อาจมีมูลค่าสูงถึง 2,600 ล้านบาท จากความเสียหายที่ถูกประมาณการสูงขนาดนี้ ภาคธุรกิจจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง เพราะวิกฤติฝุ่น PM 2.5 กระทบถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันของคนกรุงเทพที่เป็นแหล่งเศรษฐกิจ เรามาวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคธุรกิจทั้งผลดีละผลเสียกันค่ะ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปชั่วขณะ พฤติกรรมนี้รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งส่งผลต่อยอดขายสินค้าต่างๆ ด้วย สังเกตว่าเรามักเห็นคนใส่หน้ากากเดินผ่านไปมา เนื่องจากวิกฤตฝุ่นที่ตอนนี้เข้าขั้นโคม่า เจอฝุ่นนิดเดียวอาจต้องไอกันเป็นวันใครที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วยิ่งต้องระวังตัวเอง มาดูกันค่ะว่าพฤติกรรมจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนเมื่อชีวิตนอกบ้านอันตรายเกินกว่าจะควบคุม พฤติกรรมการใช้จ่าย หลายคนเลือกที่จะงดออกจากบ้านและหาร้านอาหารใกล้บ้านทานแทนเนื่องจากอากาศข้างนอกเป็นพิษทำให้ไม่อยากเคลื่อนย้ายไปไหนไกล หรือถ้าออกก็ต้องมีเป้าหมายที่จะไปจริงๆ ทำให้ส่งผลต่อย่านการค้า หรือโซนร้านอาหารที่เคยเป็นย่านช็อปชิมชิลล์มาก่อน พฤติกรรมการเสพสื่อ เรียกว่าวิกฤติฝุ่น PM 2.5 เป็นข่าวใหญ่ที่ต่อให้ละเลยไปก็ได้รัลผลกระทบอยู่ดี สังเกตได้ตามคอมเมนต์ที่บอกว่าตื่นมาจะชอบไอ ขนาดอยู่ในบ้านยังไม่ปลอดภัย นอกบ้านคงเจอมลพิษกันหนักหน่วง ยิ่งทำให้คนหันมาเสพสื่อจากเพจที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มีการติดตามข่าวมากขึ้น อยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้นอีกด้วย แน่นอนว่าเพราะค่าฝุ่น 2.5 ประชาชนตามข่าววันต่อวัน หากธุรกิจที่มีช่องทางการขายออนไลน์อยู่แล้ว สามารถนำจังหวะนี้โปรโมทสินค้าผ่านออนไลน์ทคอนเทนต์เกี่ยวกับค่าฝุ่น PM2.5 ได้ (ถ้าแบรนด์เกี่ยวพันธ์กับอากาศหรือฝุ่น PM 2.5) เรียกว่าในเรื่องร้ายมีเรื่องดีเสมอ เกิดธุรกิจทำเงินใหม่ เชื่อว่าสินค้านี้คงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุดนั่นก็คือ “หน้ากากกัน PM …